ORI คว้ากำไรปี 2563 กว่า 2,662 ล้านบาท ประกาศจ่ายปันผลอีกหุ้นละ 0.39 บาท หนุน Dividend Yield ทะลุ 7%

ORI คว้ากำไรปี 2563 กว่า 2,662 ล้านบาท ประกาศจ่ายปันผลอีกหุ้นละ 0.39 บาท หนุน Dividend Yield ทะลุ 7%

 

                                                                                                                                                      

 

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” กางผลประกอบการปี 2563 คว้ากำไรสุทธิรวม 2,662 ล้านบาท หลังปรับตัวแกร่ง และโครงการ JV ทยอยรับรู้รายได้เป็นปีแรก หนุนกำไรโดดเด่นต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์ COVID-19 บอร์ดเคาะจ่ายปันผลรอบนี้เพิ่มอีก 0.39 บาทต่อหุ้น หนุน Dividend Yield ทะลุ 7% จากราคาปิดเมื่อวานนี้ (มี.ค.) ที่ 6.85 บาท เล็งประกาศแผนธุรกิจปี 2564 วันที่ 11 มี.ค.นี้ มั่นใจ Q1/64 รายได้และกำไรโตต่อเนื่อง 

 

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในปี 2563 ถือเป็นความท้าทายที่สุดของทุกธุรกิจและอุตสาหกรรมในรอบหลาย 10 ปี สำหรับบริษัทเองได้เดินหน้าปรับตัวอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ยังสามารถรักษากำไรและอัตรากำไรสุทธิไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยในปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,662 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ 24% ซึ่งยังคงสูงเป็นอันดับท็อปของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 

 

ผลการดำเนินงานสำหรับปี 2563 บริษัทสร้าง New High ใหม่กับกิจกรรมการโอนกรรมสิทธิ์รวมทั้งโครงการ JV และ NON-JV ซึ่งทำไปได้กว่า 15,086 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ แบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์โครงการ NON-JV จำนวน 9,870 ล้านบาทและการโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการ JV จำนวน 5,216 ล้านบาท  

 

“เราปรับตัวหลายๆ ด้านพร้อมกัน ทั้งควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่ายส่วนที่ไม่จำเป็นและพัฒนาช่องทางและวิธีการใหม่ๆ ให้ผู้บริโภคเข้าถึงและตัดสินใจโอนกรรมสิทธิ์โครงการของเราได้ง่ายขึ้น ผุดโครงการ Everyone Can Sell ให้พนักงานกว่า 1,000 คน กลายเป็น Micro-Influencer ช่วยให้ผู้บริโภคเข้าถึงโครงการพร้อมอยู่ของเรา ขณะเดียวกัน ปีที่ผ่านมาเป็นปีแรกที่โครงการร่วมทุนหรือ JV ของเราก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้เป็นปีแรกถึง โครงการ ได้แก่ ไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน ไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง ไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน ทำให้มียอดโอนกรรมสิทธิ์และกำไรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง” นายพีระพงศ์ กล่าว 

 

ในปี 2563 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 13,300 ล้านบาท โดยมีอัตรายอดขายเปิดตัวสูงถึง 65% มียอดขายรวมทั้งสิ้น 25,774 ล้านบาท คิดเป็น 120% ของเป้าหมายที่วางไว้ และมีรายได้รวมอยู่ที่ 11,114 ล้านบาท โดยปิดการขายโครงการไปได้ถึง 6 โครงการ 

 

จากผลการดำเนินงานที่ยังทำได้อย่างยอดเยี่ยมท่ามกลางแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทงวด เดือนที่เหลือของปี 2563 ในอัตรา 0.39 บาทต่อหุ้น หรือ คิดเป็น Dividend Yield กว่า 7% จากราคาปิดเมื่อวานนี้ (มี.ค.) ที่ 6.85 บาท เป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 957 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 พ.ค. 2564 ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 7 พ.ค.2564 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 18 พ.ค. 2564 

 

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปี 2564 มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากมีปัจจัยบวกหลายด้านที่ทยอยเกิดขึ้นต่อเนื่อง อาทิ การต่ออายุมาตรการลดภาษีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองที่มีผลตั้งแต่เมื่อ ก.พ.ที่ผ่านมา การเริ่มทยอยฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 ให้แก่บุคคลกลุ่มต่างๆ ต่อเนื่องตลอดทั้งปี อย่างไรก็ดี สภาพเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังคงมีปัจจัยกดดันหลายด้าน กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ หรือ Key Success ที่จะช่วยให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตได้ในปีนี้ คือเรื่องขีดความสามารถในการปรับตัว และความเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค 

 

“การแข่งขันในสภาพตลาดปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ออริจิ้นได้พิสูจน์ให้เห็นถึงความสำเร็จจากขีดความสามารถในการปรับตัว จนพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ผู้บริโภคมาได้อย่างต่อเนื่อง ปี 2564 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่เราก้าวสู่การปรับตัวใหม่ๆ ในอีกระดับ เพื่อการตอบโจทย์ผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น และเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดที่สามารถเติบโตได้ในปีนี้และในระยะยาว คาดว่าจะเปิดเผยทิศทางธุรกิจปี 2564 ได้ในวันที่ 11 มี.ค.นี้” นายพีระพงศ์ กล่าว 

 

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 นั้น มีแนวโน้มที่ดี สังเกตได้จากยอดขายล่าสุดถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่มียอดขายแล้วถึงกว่า 4,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นยอดขายในกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ขณะเดียวกัน บริษัทมีโครงการสร้างเสร็จใหม่ พร้อมโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มเติมในไตรมาสนี้อีก 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 13,150 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน , ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 ,ไนท์บริดจ์ เกษตร โซไซตี้, ดิ ออริจิ้น รามอินทรา 83 สเตชั่น ,เคนซิงตัน ระยอง และ 2, เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ พูลวิลล่า บางนา-พระราม 9, ไบรตัน อมตะ สุขประยูรไบรตัน บางนา กม. 26 และไบรตัน คูคต สเตชั่น จึงมั่นใจว่าในช่วงไตรมาส 1/2564 บริษัทจะมีรายได้เติบโตทั้งเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (YoY) 

 

สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 81 โครงการ เช่น  แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 125,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร