สำนักพิมพ์วิช เปิดตัวหนังสือ “เดินทางไปให้หัวใจนำปลายเท้า” ที่สุดของบันทึกการเดินทางที่ทำให้ผู้อ่านเหมือนได้เดินทางไปด้วยกัน
สำนักพิมพ์วิช เปิดตัวหนังสือ “เดินทางไปให้หัวใจนำปลายเท้า”
ที่สุดของบันทึกการเดินทางที่ทำให้ผู้อ่านเหมือนได้เดินทางไปด้วยกัน
สำนักพิมพ์วิชเปิดตัวหนังสือ “เดินทางไปให้หัวใจนำปลายเท้า” เขียนโดย พลภัทร เกตุแก้วพนักงานบริษัทที่ชื่นชอบการเดินทางด้วยสองเท้าเพียงลำพัง พร้อมบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ที่พบเจอในต่างประเทศมาเขียนลงในเพจ “ไปแล้วมาเล่า” ซึ่งได้รับการติดตาม และมีแฟนคลับเป็นจำนวนมาก จึงได้มีโอกาสนำเรื่องราวการเดินทางมารวมเล่ม เพื่อส่งต่อให้ผู้ชื่นชอบการเดินทางเหมือนกัน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ไม่เคยเดินทางไกล จะได้เห็นและศึกษาก่อนออกไปใช้ชีวิตตามฝันของตัวเองในสถานที่แปลกใหม่ พบเจอผู้คนใหม่ ๆ เปิดประสบการณ์ใหม่ เพราะความท้าทายจากการเดินทาง จะทำให้หัวใจของผู้อ่านพองโต ชีวิตมีสีสัน กลับจากการเดินทางมาพร้อมพลังอีกครั้งอย่างแน่นอน
เนื้อหาในเล่มนี้ ประกอบด้วยการเดินทางใน 8 ประเทศ ที่ผู้เขียนแนะนำว่าชีวิตนี้ควรไปสักครั้ง ได้แก่ อินเดีย ตุรกี ญี่ปุ่น ไต้หวัน ปากีสถาน จีน เกาหลี และเนปาล พร้อมภาพประกอบที่สวยงาม จากสถานที่ในประเทศต่างๆ ที่ผู้เขียนเป็นผู้ถ่ายภาพเองทั้งหมด หนังสือเล่มนี้จึงเป็นตัวแทนของคนที่กล้าออกจากกรอบ ซื่อสัตย์ต่อความฝัน กล้าหาญในการใช้ชีวิต เพื่อออกไปพิชิตโลก แล้วเดินตามฝันของตัวเอง สุดท้ายผู้อ่านจะรู้ว่า “โลกนี้สวยงามเพียงใด”
หนังสือ “เดินทางไป ให้หัวใจนำปลายเท้า” จำหน่ายในราคา 295 บาท สามารถเป็นเจ้าของหนังสือได้แล้วที่ร้านหนังสือซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์ ทุกสาขาทั่วประเทศ และร้านหนังสือชั้นนำทั่วไป สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 418 2885
เดินทางไป ให้หัวใจนำปลายเท้า
ที่สุดแห่งการเดินทางสู่ 8 ประเทศในฝันของผู้ชายที่ใช้หัวใจนำปลายเท้า
“นักเดินทาง... ที่ไม่เคยไปตามทาง จึงมีเรื่องมันส์ ๆ มาเล่าให้คุณฟังไม่เหมือนใคร”
รายละเอียดหนังสือ
ชื่อหนังสือ : เดินทางไป ให้หัวใจนำปลายเท้า
ผู้เขียน :พลภัทร เกตุแก้ว
ขนาด : 12.8x18.5 cm.
จำนวนหน้า :320 หน้า
กระดาษเนื้อใน : กระดาษปอนด์ขาว 80 แกรม (พิมพ์ 4 สีทั้งเล่ม)
กระดาษปก : อาร์ตการ์ด 260 แกรม เคลือบด้าน สปอต
ราคา :295 บาท
ISBN :978-616-8056-33-2
Barcode :978-616-8056-33-2
สำนักพิมพ์ :สำนักพิมพ์วิช
เดือนที่ออก :เมษายน 2562
ประเภท : ท่องเที่ยว
จำนวนที่พิมพ์ : 3,500 เล่ม
ช่องทางการตลาดออนไลน์ของผู้เขียน : เฟซบุ๊ก https://www.facebook.com/npk.space/
จัดจำหน่าย :บริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน)
....................................................................
คำนำสำนักพิมพ์
“เดินทางกันเถอะ ก่อนโลกจะเปลี่ยนไป”
หนังสือ “เดินทางไป ให้หัวใจนำปลายเท้า” เขียนโดย พลภัทร เกตุแก้ว ไม่ใช่หนังสือที่รอให้ใครมาตัดสิน ให้เป็นหนังสือยอดเยี่ยมที่จะจารึกบนหอเกียรติยศตลอดไป แต่หนังสือเล่มนี้เป็นยิ่งกว่านั้น เพราะผู้ชายคนนี้ไม่รอให้ใครมาตัดสิน ไม่ต้องแข่งขันกับใคร ไม่รอให้โชคชะตามาถึง แต่เขาตัดสินใจให้รางวัลแก่ตัวเอง ด้วยการเดินทางโดยใช้ใจตัวเองเป็นเข็มทิศ สองเท้าเป็นเพื่อนสนิท เส้นทางข้างหน้าคือแรงบันดาลใจ และการบันทึกพร้อมภาพถ่ายกลับมาเป็นรางวัลที่เขาภาคภูมิใจ
หนังสือเล่มนี้ เป็นความตั้งใจและภาคภูมิใจของผู้ชายธรรมดาที่หลงใหลในการเดินทาง ที่ได้นำประสบการณ์การผจญภัยต่างแดน มาบอกเล่าในสไตล์ของตัวเอง ที่ไม่มีการประดิษฐ์ภาษาให้สวยหรู มีแต่เป็นถ้อยคำที่จริงใจ สนุกสนาน แฝงข้อคิด ที่เคยโพสต์ไว้ในเพจ “ไปแล้วมาเล่า” มารวมเล่ม เพื่อส่งต่อให้ผู้ชื่นชอบการเดินทางเหมือนกัน และเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่ไม่เคยเดินทางไกล จะได้เห็นและศึกษาก่อนออกไปใช้ชีวิตตามฝันของตัวเองในสถานที่แปลกใหม่ พบเจอผู้คนใหม่ ๆ และเปิดประสบการณ์ใหม่ เพราะความท้าทายจากการเดินทาง จะทำให้หัวใจคุณพองโต ชีวิตมีสีสัน และกลับมามีพลังอีกครั้งอย่างแน่นอน
เนื้อหาในเล่มนี้ ประกอบไปด้วย 8 ประเทศ ที่ชีวิตนี้ควรไปสักครั้ง
1.อินเดีย ความกลมกลืนของธรรมชาติกับอารยธรรม
2.ตุรกี ความฝันของคนสองทวีป
3.ฮอกไกโด เยือนเหนือสุดถิ่นซามูไร
4.ไต้หวัน ในวันฝนพรำกับความทรงจำดี ๆ
5.ปากีสถาน ดินแดนสวรรค์กลางหุบเขา
6.ฉงชิ่ง ท่องยุทธภพสยบอาณาจักรบู๊ลิ้ม
7.ปูซาน เกาหลีที่แตกต่าง
8.เนปาล ปริศนาดวงตาแห่งธรรม
หนังสือ “เดินทางไป ให้หัวใจนำปลายเท้า” จึงเป็นตัวแทนของคนที่กล้าออกจากกรอบ ซื่อสัตย์ต่อความฝัน กล้าหาญในการใช้ชีวิต เพื่อออกไปพิชิตโลก แล้วเดินตามฝันของตัวเอง สุดท้ายคุณจะรู้ว่า “โลกนี้สวยงามเพียงใด”
สำนักพิมพ์วิช
............................................
คำนิยม
ผมทราบว่า คุณพลภัทร ชอบที่จะเดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศหลายต่อหลายแห่ง บางครั้งก็ไปร่วมทริปเดียวกันกับผม ที่น่าสนใจและแตกต่างจากการไปเที่ยวของคนอื่นก็คือ การที่คุณพลภัทรได้ใช้โอกาสเท่าที่มีในระหว่างเดินทาง เก็บเกี่ยวเรื่องราวของสถานที่นั้น ๆ มาเล่าให้คนที่รู้จักได้ติดตามอ่านเรื่อยมา เมื่อได้มีโอกาสรวบรวมจัดทำเป็นหนังสือ ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ที่จะให้ผู้ที่สนใจได้ค้นคว้าหาข้อมูล และเกิดแรงบันดาลใจในการเดินทาง
ป้อมเพชร รสานนท์
รองกรรมการผู้จัดการ ธุรกิจสินเชื่อรถยนต์
ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน)
....................................................
หนังสือเล่มนี้ จัดเป็นหนังสือที่ผมรอคอยมานานเล่มหนึ่ง โดยส่วนตัวรู้จักกับ คุณพลภัทร เกตุแก้ว หรือเจ้าของฉายา “มาร์โค โปโล” ของเพื่อน ๆ มาร่วม 40 ปี เขาเป็นคนที่มีจิตวิญญาณของนักเดินทางที่แท้จริง ชอบผจญภัยและค้นคว้าไปในสถานที่ต่าง ๆ แบบถึงแก่น ประกอบกับการเป็นนักถ่ายภาพมือฉกาจคนหนึ่ง จึงได้ภาพสวย ๆ มาประกอบที่ช่วยสร้างสีสันและความเร้าใจการเยือนสถานที่แห่งนั้นมากขึ้น
ความสนุกตื่นเต้นของการเดินทางนั้น มิใช่ศึกษาจากหนังสือของนักท่องเที่ยว แต่ต้องศึกษาจากนักเดินทางเท่านั้นถึงจะได้อรรถรสที่แท้จริงของการเยือนสถานที่นั้น ๆ หนังสือเล่มนี้ ถือได้ว่าเขียนและถ่ายทอดเรื่องราวจากนักเดินทางตัวจริงครับ
ดร.ประสิทธิ์ กาญจนศักดิ์ชัย
ประธานกรรมการ กลุ่มธุรกิจ Thaiconst Group
อดีตเลขาธิการ โครงการร่วมผลิตบัณฑิตระดับปริญญาเอก
ทางบริหารธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (JDBA)
.......................................................
คุณพลภัทร เกตุแก้ว ได้นำงานที่เป็นทั้งศาสตร์และศิลป์มาผสมผสานปั้นแต่งให้เราได้ลองลิ้มชิมรส ออกมาทั้งในมิติของภาพสัมผัสได้จากตาของเขา และสุนทรียะอักษรที่เขาได้เล่าออกมาให้เราท่านได้ประทับและซึมซับไว้ในชีวิตอย่างชุ่มชื่นหัวใจ
เมื่อก่อนเคยคิดว่า “ภาพเล่าเรื่อง” หรือ “สาระภาพ” จะไม่มีเสน่ห์ แต่ที่ไหนได้ เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ของคุณพลภัทรแล้ว อยากไปเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์ มาใส่ไว้ในความทรงจำ
คุณพลภัทรได้ช่วยสร้างบรรยากาศเสมือนจริงมาให้เราได้ชิมลางอ่านแล้ว เหมือนยืนสัมผัสดินแดนในประเทศต่าง ๆ แม้อากาศที่หายใจจะไม่ใช่...แต่หัวใจกระซิบบอกว่า อยากไปสักครั้ง เลิกเครียดกับโลกได้แล้ว “เพราะโลกใบนี้มีไว้เหยียบ ไม่ได้มีไว้แบก” ครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์กิตติภูมิ มีประดิษฐ์
ผู้อำนวยการสำนักวิชาศึกษาทั่วไป มหาวิทยาลัยศรีปทุม
......................................................
3 เดือนก่อน คุณโหนกโทรมาหาผม บอกว่าให้ช่วยเขียนคำนิยมในหนังสือท่องเที่ยวเล่มแรกให้หน่อย เพราะผมเป็นแรงบันดาลใจในการฝึกฝนถ่ายรูปมาจนถึงทุกวันนี้ ผมจึงตอบ ตกลงอย่างไม่รีรอสำหรับการให้เกียรติผมในครั้งนี้ และยินดี ที่เพื่อนได้ผันตัวเองมาเป็นนักเขียนอีกบทบาทหนึ่ง
ผมพูดอยู่เสมอว่า เราต้องเชื่อว่าเราเองมีความเก่ง มีความสามารถ ทำตัวเราให้เป็นมืออาชีพ สิ่งที่ต้องไม่ลืมก็คือ ต้องซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ และผมเชื่อมั่นว่า คุณโหนกกำลังเดินทางไปสู่นักเขียนมืออาชีพที่สำคัญอีกคนหนึ่งครับ
มนตรี พวงทอง (มด)
CEO Foto File Group
แชมป์แฟนพันธุ์แท้กล้องถ่ายรูป ปี 2008
............................................
หนังสือ “เดินทางไป ให้หัวใจนำปลายเท้า” เป็นหนังสือที่ตั้งชื่อได้ดีเหลือเกิน เพราะการเดินทางโดยแก่นแท้แล้ว เกิดขึ้นที่หัวใจทั้งหมด เท้าเป็นเพียงอุปกรณ์เสริมที่ทำให้เราไปถึงจุดหมาย การเดินทางทำให้ขนาดของหัวใจใหญ่ขึ้น จากปากซอยเล็ก ๆ ในประเทศไทย ไปไกลถึงปลายสุดของทวีปยุโรป ใจไม่ใหญ่พอไปไม่ได้หรอก
ยิ่งเดินทาง หัวใจเราจะยิ่งอ่อนโยน เข้าใจความแตกต่างในศาสนา วัฒนธรรม ประเพณี ตรงข้ามกับความใจแคบ ถือสากับทุกเรื่องที่ไม่คุ้นเคย
คุณอาจจะพลิกดูหลังปกแล้วพบว่า “ฉันไปมาหมดแล้ว” แต่เดี๋ยวก่อน ความสำคัญไม่ได้อยู่ที่จำนวนครั้ง แต่อยู่ที่ใจ ใจของคนที่เดินทาง เหมือนที่ มาร์ติน ลูเธอร์ คิง จูเนียร์ บอกว่า “ข้าพเจ้าเดินทางไปต่างประเทศอย่างนักท่องเที่ยว แต่ข้าพเจ้าไปอินเดียอย่างนักแสวงบุญ” และถ้าอยากรู้ว่าเป็นอย่างไร เชิญมาอ่านใจของ พลภัทร เกตุแก้ว ตอนเมาหรือไม่เมาเขาก็เล่าสนุก
เขียนคำนิยมด้วยใจเช่นกัน
เอกวิทย์ สุดานิช
นักเขียนอิสระ เจ้าของผลงานเขียน
“หิมาลัยไปทางนี้” และ “สักการะมาตา”
............................................
เมื่อพูดถึงเรื่องนักเดินทาง ชื่อของ คุณพลภัทร หรือ พี่โหนก เป็น ชื่อที่มักจะปรากฏอยู่ในลำดับแรก ๆ เสมอ จากที่เริ่มคุยกันเมื่อ 6-7 ปีก่อน เรื่องการเดินทาง...การเขียนหนังสือ บอกเล่าเรื่องราว...การทำตามความฝัน ในมุมของนักเดินทาง ที่ต้องการจะแชร์ประสบการณ์ในมุมมองที่สวยงามผ่านเลนส์คู่ใจ “สักวันหนึ่งฉันจะทำความฝันให้เป็นจริง”
วันนี้ พลภัทร นายทำสำเร็จแล้ว นายทำตามฝันของตัวเองได้แล้ว ขอแสดงความยินดี และชื่นชมกับความสำเร็จ “หนังสือเล่มแรกของคุณพลภัทร” ที่ได้แชร์ประสบการณ์ที่สวยงามในการเดินทาง ทั้รูปภาพ มุมมองความคิดเห็น ชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละสถานที่ ด้วยสไตล์การเขียนที่สนุกสนาน ซึ่งทุกท่านจะมีความสุขที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้อย่างแน่นอน และรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้มีส่วนร่วมในการแนะนำเรื่องราวที่ดีของคุณพลภัทรและหนังสือเล่มนี้
ศุภากร จิรพงศ์
ผู้ติดตามเพจ “ไปแล้วมาเล่า”
..........................................
คำนำผู้เขียน
ผมเริ่มออกเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศมานับ 10 ปีได้แล้วครับ เริ่มจากการไปศึกษาดูงานขององค์กร สถาบันการศึกษา ซื้อทัวร์ไปกับบริษัทนำเที่ยว แม้กระทั่งเดินทางไปไหนต่อไหนด้วยตนเอง ทุกครั้งที่ไปประเทศต่าง ๆ ก็จะได้ภาพถ่ายติดกล้องมาเป็นจำนวนมาก ระยะหลัง ๆ ผมเริ่มให้ความสนใจในเชิงลึกกับสถานที่ที่ไปเยือนมากขึ้น เกี่ยวกับที่มาที่ไป ว่ามีเรื่องราวและเกร็ดประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอะไร ความอยากรู้อยากเห็นมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเริ่มต้นหาข้อมูลจากการพูดคุยกับคนท้องถิ่นเจ้าของพื้นที่ ค้นหาจาก Google รวมทั้งการจดบันทึกเรื่องราวจากผู้รู้ไว้มากมาย
เมื่อการสื่อสารทางสังคมออนไลน์แพร่หลายและเป็นที่นิยม ผมจึงได้ลองทำเพจท่องเที่ยวที่ชื่อว่า “ไปแล้วมาเล่า” ขึ้น เพื่อให้ผู้ที่สนใจการเดินทางท่องเที่ยวได้ติดตามอ่านและชมภาพที่ผมได้โพสต์ลงไว้ในเพจ และโพสต์ลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวหลังจากการเดินทางทุกครั้ง โดยแบ่งเป็นตอน ๆ เหมือนซีรีส์ในละครทีวี เมื่อมีเรื่องราวสะสมไว้หลายปี ก็มีแฟนคลับที่ติดตามหลายท่านเริ่มอยากจะให้ผมรวบรวมเป็นหนังสือเก็บไว้ จนมาถึงวันนี้ วันที่ผมได้ลองลงมือทำเป็นหนังสือตามคำเรียกร้องสักที
ผมไม่ได้เป็นช่างภาพอย่างที่หลายท่านเข้าใจ เพราะผมมีความรู้เรื่องทฤษฎีการถ่ายภาพน้อยมาก
ผมไม่ได้เป็นนักเขียน เพราะที่ผ่านมา ผมทำได้แค่ร่างหนังสือโต้ตอบให้กับหน่วยงานที่ทำอยู่ และแค่จดรายงานการประชุมให้กับบอร์ดบริษัทต่าง ๆ เท่านั้น
และผมก็ไม่ได้เป็นผู้มีความรู้อย่างลึกซึ้งถึงแก่นในดินแดนต่าง ๆ ที่ไปเยือน เหมือนอย่างมัคคุเทศก์ที่เชี่ยวชาญ แต่ผมแค่อยากรู้อยากเห็นในบางเรื่องแล้วนำมาเล่าสู่กันฟัง
ดังนั้น หนังสือที่ผมทำขึ้นนี้ จะใช้เป็นตำราหรือหนังสืออ้างอิง ก็จะพึ่งพาหาสาระได้ยาก และไม่ใช่ไกด์บุ๊กที่อ่านจบแล้ว ผู้อ่านสามารถไปยังสถานที่นั้น ๆ ได้แบบไม่ต้องหาข้อมูลอะไรอีก แต่หนังสือเล่มนี้ ผมตั้งใจจะให้เป็นแรงบันดาลใจกับหลาย ๆ คน ได้แหกกฎทลายกำแพงที่ตัวเองสร้างไว้ก่อนหน้านี้ ให้หลุดออกมาท้าทายโลกใบนี้เหมือนที่ผมทำ เพื่อการเดินทางท่องเที่ยวครั้งต่อไปของท่านผู้อ่าน จะมีแผน มีเป้าหมาย มียุทธศาสตร์มากขึ้นกว่าที่เคยไปเที่ยวพักผ่อนตามปกติเหมือนที่เคยเป็นมา
ผมเลือกที่จะลงเรื่องราวการเดินทางในทวีปเอเชียก่อน เพราะอยู่ไม่ไกลจากบ้านเราเกินไป และมีสถานที่ที่สวยงาม น่าสนใจ ไม่แพ้ทวีปอื่นในโลก ซึ่งผมมีความเชื่อว่า ท่านผู้อ่านที่ยังไม่เคยไปยังเมืองต่าง ๆ ของ 8 ประเทศที่ผมได้เขียนไว้ในเล่มนี้ จะได้วางแผนออกเดินทางตามรอยผม เพื่อได้ไปสัมผัส ได้เห็น ได้สูดกลิ่นอายของอารยธรรมที่แตกต่างในอนาคตอันใกล้
หลังจากอ่านหนังสือเล่มนี้จบ ผมอยากให้ท่านผู้อ่านได้คิดกับตัวเองว่า ยังมีสถานที่ใดในโลกที่อยากจะไป แต่ไม่ได้ไปสักที แล้วสรุปให้ชัดว่า จะไปเมื่อไหร่
ผมว่า “โลกใบนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเหมือนกับที่เราได้ยินได้ฟังมาจากคำบอกเล่าของคนอื่น ตัวเรานี่แหละที่น่ากลัวที่สุด เพราะปิดกั้นโอกาสตัวเองที่จะได้ไปเห็นความสวยงามของโลกใบนี้ เพียงเพราะแค่คนอื่นบอกว่า อย่าไป”
ท้ายที่สุดนี้ ผมต้องขอขอบคุณ กองบรรณาธิการสำนักพิมพ์วิช ที่ได้ทำความฝันของผมให้เป็นความจริง เป็นความฝันที่นอกจากจะทำให้ผมมีความสุขแล้ว ยังทำให้ผู้อื่นมีความสุขจากหนังสือเล่มนี้ไปด้วยครับ
พลภัทร เกตุแก้ว
........................................................................
สารบัญ
1. อินเดีย ความกลมกลืนของธรรมชาติกับอารยธรรม
2. ตุรกี ความฝันของคนสองทวีป
3. ฮอกไกโด เยือนเหนือสุดถิ่นซามูไร
4. ไต้หวัน ในวันฝนพรำกับความทรงจำดี ๆ
5. ปากีสถาน ดินแดนสวรรค์กลางหุบเขา
6. ฉงชิ่ง ท่องยุทธภพสยบอาณาจักรบู๊ลิ้ม
7. ปูซาน เกาหลีที่แตกต่าง
8. เนปาล ปริศนาดวงตาแห่งธรรม
..........................................
ตัวอย่างเนื้อหาบางส่วน
India-Kashmir : หลุดพ้นกับดักความน่ากลัว แล้วแฝงตัวในอ้อมกอดแห่งขุนเขา
ผมต้องขอบอกตามตรงว่า หากย้อนกลับไปเมื่อ 10-20 ปี ถ้าจะให้ผมมาเที่ยวประเทศอินเดีย คงต้องขอปฏิเสธไปก่อน โดยขอไปประเทศอื่นที่น่าสนใจแทน เพราะสภาพของความยากจน การแบ่งชนชั้นวรรณะ ขอทาน ความสกปรก อาหารการกิน เป็นที่โจษขานกันมานานแล้วว่า ไม่น่าไปทัศนาเท่าไรนัก
แต่ระยะหลัง ๆ การเดินทางตามรอยพุทธประวัติ เริ่มมีนักท่องเที่ยวไทยสายธรรมะไปกันมากขึ้น ความสวยงามของทัชมาฮาลที่ยังมีมนต์ขลังก็ยังไม่เสื่อมคลายลงไป ศาสนสถานของศาสนาฮินดูหรือชาวซิกข์ ก็มีภาพปรากฏให้เห็นถึงอารยธรรมและความสวยงามที่แตกต่าง สุดท้ายที่ผมอดรนทนไม่ได้คือ การได้เห็นภาพถ่ายวิวที่สวยมากของรัฐชัมมูและแคชเมียร์เมื่อ 3-4 ปีที่ผ่านมานี่เอง ทำให้ผมต้องวางโปรแกรมไว้ในลิสต์การเดินทาง
อย่างไรก็ตาม ประเทศอินเดียยังมีสถานที่ที่น่าสนใจ นอกเหนือจากที่ผมเล่าในหนังสือเล่มนี้อีกหลายเมือง เช่น ราชาสถาน (Rajasthan) ชัยปุระ (Jaipur) แม้กระทั่งเลห์ ลาดัก (Leh Ladakh) เมืองในฝันของใครอีกหลาย ๆ คน รวมทั้งตัวผมเองเช่นกัน ถามผมว่า แล้วจะไปตามเก็บเมืองที่เหลือของอินเดียที่ว่านี้หรือเปล่าล่ะ ... แน่นอนครับ
........................................
Turkey : Be our guest
การเดินทางของผมส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นปี ว่าจะไปประเทศไหน เมืองอะไร ในช่วงจังหวะเวลาไหนถึงจะดี แต่ก็มีบ้างที่การเดินทางแบบมีคิวแทรกไม่ทราบล่วงหน้า คือ นึกอยากจะไป อีกไม่กี่เดือนต่อมาก็ไปเลย การมาเยือนประเทศตุรกีของผมเป็นแบบนี้เลยครับ คงมีอะไรดลใจให้ผมมานั่นเอง ทำให้จุดหมายปลายทางของผมเปลี่ยนในช่วงสุดท้าย
ประเทศตุรกีก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังด้วยสิ ที่นี่มีโบราณสถานที่นับว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก ที่นี่คืออิทธิพลการแผ่ขยายของอาณาจักรโรมันที่รุ่งเรืองในอดีต ที่นี่เป็นดินแดนของสองทวีป ที่นี่เป็นความยิ่งใหญ่เกรียงไกรของอาณาจักรออตโตมัน ตุรกีเป็นแหล่งสะสมข้อมูลทางประวัติศาสตร์ชั้นดี เป็นจุดหมายทางภูมิศาสตร์ที่สำคัญของโลกที่ต้องมาสัมผัสให้เห็นกับตา
ตุรกีไม่ใช่เมืองที่น่ากลัวหรือมีภัยสงครามการก่อการร้ายอย่างที่เข้าใจ ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน ที่ไหนในโลกใบนี้อาจจะเกิดเหตุร้ายจากการขัดแย้งทางการเมืองได้ทั้งสิ้น ดังนั้น ถ้าเราเปิดใจกว้างให้เข้าใจถึงเรื่องดังกล่าว จะทำให้เราไม่เสียโอกาสในการเดินทางแสวงหาดินแดนที่น่าสนใจอย่างประเทศตุรกี ผมเชื่อว่า มีอีกหลายประเทศที่เราคิดไปเองว่าน่ากลัว แท้ที่จริงก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ข่าวลงหรือเรามโนไปเอง
...............................................
Hokkaido : Let’s go again
ถ้าจะถามคนร้อยทั้งร้อย ผมเชื่อว่า ไม่มีใครไม่อยากมาเที่ยวฮอกไกโดในช่วงฤดูหนาว ไม่ใช่แค่เพียงดินแดนในฝัน แต่เป็นดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ดี ๆ นี่เอง ส่วนตัวผม อยากไปฮอกไกโดมานานแล้ว แต่ไม่มีโอกาสสักที เมื่อโอกาสจะมา ก็มาแบบไม่ทันตั้งตัวเหมือนกัน
เดือนมีนาคมปีก่อนโน้น จังหวะและโอกาสได้นำพาผมมาดินแดนสวรรค์แห่งนี้ ผมไม่ได้พูดเวอร์เลยนะว่า สวยตั้งแต่เครื่องลงที่สนามบิน สองข้างทางปกคลุมด้วยหิมะ เหมือนไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้ ถ้าหากคุณได้เดินบนถนนซาไกมาจิ (Sakaimachi) เมืองโอตารุ (Otaru) แล้ว หิมะตกโปรยปรายลงมา จินตนาการของคุณจะเตลิดไปไกลมาก
ภาพจริงบางภาพ ผมสื่อมาให้เห็นไม่ได้ ข้อความที่ผมเล่าเรื่อง อย่างไรก็บรรยายมาไม่ครบ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นที่เกาะฮอกไกโด ยิ่งเก็บมาฝากท่านผู้อ่านไม่ได้เข้าไปใหญ่
ผมบอกกับตัวเองว่า ถ้าผมจะต้องใช้จินตนาการทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ที่ต้องใช้พลังของการสร้างแรงบันดาลใจมาก ๆ ผมจะเลือกมาที่นี่ แน่นอนว่า ฮอกไกโดเป็นจุดหมายปลายทางในฝันของนักท่องเที่ยวหลายคน
แต่สำหรับผม ฮอกไกโดเป็นจุดเริ่มต้นของการ Create งานเขียนเล่มแรกของผมครับ
.....................................................
Taiwan : ในวันฝนพรำในคํ่าคืนแห่งสีสัน
สิ่งที่เราทราบคร่าว ๆ เกี่ยวกับไต้หวัน คือ เป็นประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 1 ใน 4 ประเทศของเอเชีย เรารู้จักเกาะฟอร์โมซา (Formosa) รูปใบไม้ รู้ว่าไต้หวันกับจีนแผ่นดินใหญ่ไม่ถูกกัน รู้จักตึกไทเป 101 (Taipei 101) และรู้จักจอมพล เจียง ไคเชก ผู้ก่อตั้งไต้หวัน นี่คือสิ่งที่ผมรู้เกี่ยวกับประเทศเล็ก ๆ เพียงเท่านี้ เหมือนกับหลาย ๆ ท่าน
ผมเดินทางมาไต้หวันแบบกะทันหัน ทราบล่วงหน้าเพียง 1 สัปดาห์เท่านั้น แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา หลายท่านให้ข้อสรุปว่า ไต้หวันไม่ค่อยมีอะไร มาครั้งเดียวก็น่าจะเกินพอ หลายท่านมาทริปเดียว ซึ่งผมเชื่อว่ายังไปเที่ยวไม่ครบ
ผมให้นิยามสั้น ๆ เกี่ยวกับดินแดนแห่งนี้ว่า “ประเทศที่ดูเหมือนจะไม่มีอะไร แต่มีอะไรอยู่ข้างใน” ส่วนผมเองยังไม่ได้ไปอีกหลายเมือง เช่น อาลีซาน (Alishan) รวมทั้งพิพิธภัณฑ์ที่รวมเอาสมบัติที่ขนลงเรือมาจากพระราชวังกู้กง (Gu Gong) ในจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ว่ากันว่ามีมูลค่ามากมาย
ผมตั้งใจว่า จะไปไต้หวันอีกสักครั้งหนึ่ง แต่คราวหน้าขอเป็นช่วงเดือนมีนาคม เล่ากันว่า ดอกซากุระบานที่ไต้หวัน สวยงามไม่แพ้ที่ญี่ปุ่นครับ
.......................................
Pakistan : ตำนานแห่งขุนเขา เรื่องเล่าจากวิวสวย
มีคนเคยถามผมว่า เดินทางท่องเที่ยวมาหลายประเทศ คิดว่าประเทศไหนวิวสวยที่สุด ผมจะตอบอย่างชัดเจนว่า ประเทศออสเตรีย “อ้าว…ไม่ใช่สวิตเซอร์แลนด์เหรอ” ไม่ใช่ครับ ที่นี่มีแต่หิมะบนเทือกเขาสูง มีความสวยแบบมิติเดียว ส่วนออสเตรียมีครบ ทั้งทะเลสาบ ทุ่งหญ้า หิมะบนเขาสูง
ตอนนี้ ความคิดของผมเปลี่ยนไปแล้ว หลังจากได้มาเยือนปากีสถาน ประเทศที่หลายคนกลัวเรื่องภยันตรายจากการก่อการร้าย ประเทศที่ยากจนในโลกที่สาม ประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัด ประเทศที่ลำบากแน่ ๆ ถ้าไปเที่ยวกินนอนที่นั่นหลาย ๆ วัน
ปากีสถานในเขตภาคเหนือซึ่งมีพรมแดนติดกับจีนนั้น มีเทือกเขาสูงติดอันดับโลกหลายแห่ง มีประวัติศาสตร์การเดินทางค้าขายสมัยโบราณบนเส้นทางสายไหม มีคาราโครัมไฮเวย์พาดผ่านไปตามไหล่เขา ดูสวยงาม มีทะเลสาบที่เกิดจากการละลายของหิมะสีเทอร์ควอยซ์ (Terquoise) เหมือนในยุโรป
ใช่ครับ วิวของปากีสถาน คือวิวของประเทศในยุโรปดี ๆ นี่เอง
ผมวางแผนเดินทางไปปากีสถานล่วงหน้า 2 ปี โดยเลือกช่วงที่ดอกซากุระกำลังเบ่งบานในเดือนเมษายน มีคนกล่าวว่า ปากีสถานไปหน้าไหนก็สวย ผมเห็นด้วยครับ แต่ถ้ามีโอกาสอีกสักครั้ง ขอเลือกไปช่วงใบไม้เปลี่ยนสี ระหว่างเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
แล้วท่านจะได้เห็นต้น “หิมาลายันป๊อปลาร์” (Himalayan Poplar) แข่งกันอวดโฉมในชุดสีเหลืองแบบไม่ยอมแพ้กันเลยทีเดียว
.......................................................
Chongqing : มหานครแห่งลุ่มน้ำแยงซีเกียง
ผมมาฉงชิ่ง มีความรู้สึกเหมือนมาเที่ยวภาคเหนือของไทย เพราะลักษณะภูมิประเทศ เทือกเขา น้ำตก มีส่วนคล้ายกัน แต่ที่แตกต่างก็คือ ความเป็นมหานครฉงชิ่งริมแม่น้ำแยงซีเกียงนั้น เป็นเมืองใหญ่มาก ทั้งร้านค้าแบรนด์เนม ร้านอาหาร บริษัทข้ามชาติที่เข้ามาลงทุนทางธุรกิจ มีออฟฟิศในตึกสูง จนละลานตาไปหมด เหมือนกับกรุงปักกิ่งและนครเซี่ยงไฮ้
เมืองจีนมีความเจริญและพัฒนาขึ้นทุกปี ผมยืนยันได้ เพราะผมเดินทางไปเมืองจีนทุกปี ไม่เคยซ้ำเมืองกันเลย ห้องน้ำสาธารณะในเขตอุทยานฯ เดี๋ยวนี้ปรับปรุงอย่างกับห้องน้ำโรงแรมห้าดาว การจัดระบบและการจัดการนักท่องเที่ยวดีมาก ต้องยอมรับว่า ทางการจีนมีความสามารถในการบริหารจัดการนักท่องเที่ยวระดับหมื่นคนต่อวันได้อย่างน่าทึ่ง
ผมบอกได้เลยว่า ใครมาเมืองจีนแบบ 5 ปีมาครั้งหนึ่งนั้น คงจำสถานที่ที่ตัวเองเคยมาไม่ได้แน่นอน เพราะบ้านเมืองเปลี่ยนไปเร็วมาก คอนโดมิเนียมสูงระดับ 30 ชั้นในเขตต่างจังหวัด เพื่อให้เกษตรกรพักอาศัยผุดขึ้นจำนวนมาก หลายคนที่ผมรู้จัก เป็นนักท่องเที่ยวเว้นวรรคที่จะไม่ยอมมาเที่ยวเมืองจีน และไม่ว่าใครจะคิดแบบนี้ ผมก็อยากให้ลองเปิดใจ
ลองไปเที่ยวเมืองจีนดู จะเมืองไหนก็ได้ เพราะมีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมาย แต่ถ้าจะไม่ไป เพราะความไม่สะดวกเรื่องห้องน้ำและพฤติกรรมของคน ผมเกรงว่าจะเสียโอกาสดี ๆ ไป
..................................................
Busan : เกาหลีที่แตกต่าง
ผมขอสารภาพว่า นอกจากกรุงโซลแล้ว เมืองปูซานนี่ล่ะที่ผมรู้จักในลำดับรองลงมา ผมไม่ใช่ติ่งเกาหลีเป็นทุนเดิม ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ไม่แปลกอะไร ผมรู้จักปูซานจากการจัดแข่งขันกีฬาระดับเอเชียอย่างเอเชียนเกมส์ รู้จักปูซานจากเทศกาลภาพยนตร์ที่มีขึ้นทุกปี แค่นี้จริง ๆ ครับ
เมืองปูซาน เป็นเมืองท่าที่สำคัญ และมีความเจริญมาก มากกว่าที่ผมคิดไว้เสียอีก แต่วัฒนธรรมดั้งเดิมรากเหง้าของเกาหลียังคงดำรงอยู่อย่างกลมกลืนไปกับความเจริญของเมือง
ที่น่าสนใจก็คือ เมืองปูซานอยู่ทางใต้ของเกาหลีใต้ ซึ่งมีท่าเรือเฟอร์รีสามารถข้ามฝั่งไปยังเมืองฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่นได้ นักเดินทางที่มาเมืองปูซาน หากวางแผนไปญี่ปุ่นด้วยก็จะดีมิใช่น้อย
ผมมีความเห็นว่า เมืองปูซานเล็กเกินไปที่จะอยู่หลายวันสำหรับนักเดินทางทั่วไป เส้นทางการเดินทาง ปูซาน-ฟุกุโอกะ ในเวลา 7 วัน จะเป็นความลงตัวของนักเดินทางครับ
...............................................
NEPAL : ความงามที่ถูกซ่อนบนเทือกเขาสูง
ประเทศเล็กพริกขี้หนู รสแซ่บในด้านการท่องเที่ยวอย่างเนปาล ถือว่าไม่ธรรมดา นักเดินทางที่จะมาที่นี่ น่าจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มแรก นักเดินทางเชิงศิลปะ วัฒนธรรม อารยธรรม ประวัติศาสตร์ พระราชวัง อีกกลุ่มคือ กลุ่มนักเดินทางสาย Trekking ขึ้นเทือกเขาหิมาลัย ไม่ว่าจะเป็นพูนฮิลล์ (Poon Hill), ABC (Annapurna Base Camp) หรือพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์ไปเลย ถ้าจะเก็บให้ครบ ต้องอยู่สักครึ่งเดือนเป็นอย่างน้อย
ผมมองว่า เนปาลเป็นประเทศที่มีเสน่ห์มาก ผู้คนที่นี่อัธยาศัยไมตรีดีเยี่ยม การอยู่ร่วมกันของชาวพุทธและฮินดูเป็นไปอย่างลงตัว ผมขอบอกตามตรง ไม่เคยคิดว่าจะมาเนปาลมาก่อน เพราะไม่มีความสามารถปีนยอดเขาเอเวอเรสต์ได้ แต่เมื่อได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “สักการะมาตา” ของ คุณเอกวิทย์ สุดานิช ผมถึงได้อุทานกับตัวเองว่า “ไม่ใช่แล้ว เนปาลในสมองของผม กับเนปาลที่มีอยู่จริง คนละประเทศกันเลย”
ผมมองหาวันหยุดยาวในปฏิทินทันที บอกกับตัวเองว่ายังไงก็ต้องไป และเนปาลเป็นประเทศล่าสุดที่ผมไปมาในหนังสือเล่มนี้ เมื่อเดือนสิงหาคม 2561 ผมหลงใหลที่นี่ ผมกลับมาวาดภาพด้วยสีน้ำจากพระราชวังและวัดที่เมืองภัคตปุระ (Bhaktapur) หลายภาพ
เนปาลเป็นประเทศที่ผมบอกไม่ถูกว่าทำไมถึงน่าไป แต่ถ้าท่านไปเยือนแล้ว ท่านจะบอกไม่ถูกว่า ทำไมท่านถึงชอบเนปาล
...............................................
เกี่ยวกับผู้เขียน
ผมเกิดวันทหารผ่านศึก วันที่มีการขายดอกป๊อปปี้กัน และเกิดวันเดียวกับคุณพ่อผมด้วย บ้านเกิดอยู่แถว ๆ สยามสแควร์ เรียกว่า ผมอยู่ในแหล่งที่ขึ้นชื่อว่าเป็น Downtown ของกรุงเทพฯ จึงได้เห็นแสงสีแห่งความล้ำสมัย แฟชั่นเครื่องแต่งกาย วงดนตรีสากลแนวสตริง ร็อก พอป สถานบันเทิง บาร์ ไนต์คลับ ตั้งแต่ยังเด็ก เริ่มต้นอนุบาลจึงเรียนอยู่แถวถนนสุรวงศ์ รถวิ่งจากถนนอังรีดูนังต์ ครู่เดียวก็ถึง เพราะไม่ไกลกันมาก เรียนที่โรงเรียนบุปผานุกูล (ปัจจุบันเลิกกิจการไปนานแล้ว) จนจบ ป.4 ก็ไปต่อ ป.5 ที่โรงเรียนดาราคาม แถวท้องฟ้าจำลอง เอกมัย หัดนั่งรถเมล์ครั้งแรกก็นับแต่นี้ สาย 40 วิ่งผ่านโรงหนังสยามไปลงสุดสายที่สถานีเอกมัยพอดี ผมเรียนอยู่ที่นี่ตรงนี้ถึง ม.ศ.3 ก็รวม 6 ปี
ผมย้ายที่อยู่มาแถวหัวหมากราวปี 2519 พอเข้ามัธยมปลาย ม.ศ.4-5 มาเรียนที่โรงเรียนสามเสนวิทยาลัย การเดินทางแบบวัยรุ่นกับเพื่อนฝูงจึงเริ่มต้นขึ้นนับแต่นั้น เราจับกลุ่มเที่ยวต่างจังหวัดกันบ่อยมาก เพราะเพื่อนส่วนใหญ่อยู่ต่างจังหวัดกัน การไปกินนอนบ้านเพื่อนเป็นทริปที่ประหยัดและสนุกที่สุด
ผมเรียนจบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ปี 2529 ใช้เวลาดื่ม กิน เที่ยว และสอบ รวม 4 ปี แต่ชีวิตก็ยังไม่มีคำตอบให้กับตัวเองว่าจะไปต่อยังไง ผมสอบตั๋วทนายเอาไว้ก่อน ส่วนจะได้ใช้ประกอบอาชีพหรือไม่เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ License ก็ยัง Available ถึงตอนนี้
มีคนบอกให้หางานที่มั่นคงทำ ตามความเชื่อและปรารถนาดีของคนยุคนั้น เพราะอาชีพไม่ได้มีให้เลือกมาก ที่สำคัญคือ ผมไม่รู้ด้วยว่าตัวเองชอบอะไร นี่คือปัญหาของเด็กยุคเบบี้บูมในเมืองไทย ปี 2530-2533 ผมทำงานเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย หรือ Law Firm แถวสาทร, Sale ขายบัตรเครดิต, ตัวแทนขายประกันชีวิต พอถึงปี 2533 จึงได้เข้ามาทำงาน Bank ตอนนั้นงานธนาคารสนุกมากครับ ผมเป็นเจ้าหน้าที่นิติกรรม ไปทำงานที่กรมที่ดิน 7-8 ปี
ถ้าใครจะถามผมว่า เรียนกฎหมายมา เก่งด้านไหนมากที่สุด ผมคงต้องตอบว่า กฎหมายที่ดิน และกฎหมายที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ นี่ล่ะครับ ใช้ทำมาหากินในยามยากได้จนถึงทุกวันนี้ ผมทำงานที่ธนาคารไทยทนุ จำกัด (มหาชน) ได้เกือบ 10 ปี ก็ Early Retire ออกมา ได้เงินมาก้อนหนึ่ง เพราะเบื่อ และอยากมาตั้งหลักคิดอะไรสัก 3-4 เดือน แล้วค่อยไปต่อ
พอตั้งสติได้ ผมกลับมาทำงานฝ่ายกฎหมาย ที่ CP ถนนสีลม เป็น Corporate Lawyer เนื่องจาก CP มีบริษัทในเครือเยอะมากที่ต้องกำกับดูแลให้กิจการดำเนินไปภายใต้กฎหมาย ทำอยู่ 7-8 เดือนเองครับ งานมากแต่เงินเดือนไม่พอรับประทาน หันเหกลับมาทำงานที่สถาบันการเงินแบบเดิมดีกว่า
ผมเริ่มต้นทำงานในกลุ่มธนชาตปี 2543 ที่ธนชาตสอนให้ผมต้องเรียนรู้เรื่องธุรกิจไปด้วย ผมต้องดูงบการเงินให้เป็น ผมต้องเรียนรู้โมเดลทางธุรกิจ ต้นทุน กำไร ขาดทุน อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return: IRR) อัตราส่วนทางการเงิน และศัพท์ทาง Finance มากมาย ทำให้ผมไปไม่เป็น เพราะไม่เคยเรียนมา ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคงตกงานแน่ ๆ ไม่รู้ก็ต้องเรียนให้รู้ ผมจึงเรียนต่อ MBA ที่ NIDA หลักสูตร Executive เมื่อปี 2546 โหดมากนะครับกับการทำงานไปด้วยเรียนไปด้วยหลังเลิกงาน 3 ปีจึงเรียนจบ ได้ปริญญาโทมาใบหนึ่ง ผมทำงานวนเวียนอยู่ภายใต้บริษัทในเครือและ บมจ.ธนาคารธนชาต จะเปลี่ยนงานภายในบริษัทในเครือทุก 3 ปี สุดท้ายมาจบที่ บมจ.ธนชาตประกันชีวิต สิริอายุรวมการทำงานที่ธนชาต 13 ปี
เมื่อปี 2556 Prudential Life Assurance เข้าซื้อกิจการ Thanachart Life Assurance ผมจึงโอนย้ายมาทำงานที่ บมจ.พรูเด็นเชียล ประกันชีวิต (ประเทศไทย) นับแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน โดยเป็นผู้บริหารงานขายประกันชีวิตผ่านธนาคาร ปี 2560 ผมได้รับคัดเลือกจาก PCA (Prudential Corp. Asia) ให้เป็นตัวแทนจากประเทศไทยไปร่วมปั่นจักรยานที่ประเทศอังกฤษ ในรายการ Prudential Ride London 2017 จัดเป็นอีเวนต์ที่ยิ่งใหญ่มาก มีผู้เข้าร่วมการแข่งขันหลายหมื่นคน ถือเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่ามากสำหรับผม
หากจะนับรวมประสบการณ์การทำงานของผมทั้งหมดก็ผ่าน 30 ปีไปแล้ว แต่ถ้าจะให้โฟกัสชีวิตการทำงาน ต้องเป็นช่วง 10 ปีหลังครับ เป็นช่วงการทำงานที่น่าจะถูกจริตกับตัวเองมากที่สุด เพราะผมได้เดินทางทั่วประเทศ และเริ่มมีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะผมได้เปลี่ยนงานมาดูแลงานด้านการขายผลิตภัณฑ์ผ่านธนาคารตั้งแต่ปี 2550 และคิดว่าชีวิตการทำงานในฐานะ Employee น่าจะจบที่งานลักษณะนี้
หลายคนค้นพบตัวเองตั้งแต่ยังเด็ก ก็ไม่เสียเวลาหลงทาง ส่วนผมกว่าจะค้นพบตัวเองก็ใช้เวลาไปถึงวัยกลางคนเข้าไปแล้ว แต่ผมไม่ได้รู้สึกเสียดายอะไร ดีเสียอีกที่ยังมีเวลาพอสมควรที่จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก โฟกัสสิ่งที่ตัวเองชอบ ชีวิตผมมาเริ่มอะไรใหม่หลายอย่างในช่วงครึ่งหลัง (ครึ่งแรกเสมอ 0-0) อาจจะแตกต่างและไม่เหมือนใคร ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหา เพียงแต่ขอให้ครึ่งหลังของชีวิตที่เหลือจากนี้ ทำให้ผมได้ระเบิดพลังภายในตัวเอง ออกมาเป็นผลงานที่ทำให้คนรอบข้างหรือทุกคนที่เข้ามารับรู้ สัมผัส ได้มีความสุขไปด้วยก็พอใจแล้ว...
พลภัทร เกตุแก้ว