ถอดรหัสลับ พระพุทธเจ้า เป็นใคร?
ถอดรหัสลับ
พระพุทธเจ้า เป็นใคร?
อภิมหาโปรเจกต์ ครั้งแรกของโลก เพื่อเปิดเผยความจริงที่ถูกปิดตายกว่า 2,600 ปี
พลิกความเชื่อสู่ “พุทธแท้” ที่ไม่เคยมีใครบอกคุณ และค้นหาใบหน้าที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
เรื่องย่อและแรงบันดาลใจ
ข้าพระพุทธเจ้าขออุทิศถวายงานโครงการนี้แด่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักของไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙ ที่เราถือว่าพระองค์ท่านทรงเป็นดั่งพุทธะ ซึ่งขณะนี้ได้รับการบูชาเป็นพระโพธิสัตว์ที่เฝ้าปกปักรักษาอาณาจักรไทยของเราอยู่
การคิดว่า ความสำเร็จของพระองค์ท่าน เป็นเพียงพระปรีชาสามารถที่ได้สะสมบุญมาแต่ชาติปางก่อนนั้น เป็นการมองข้ามความเสียสละและการตรากตรำลำบากตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของพสกนิกรชาวไทย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้แสดงให้เห็นถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า การอุทิศตนอย่างมีคุณค่าที่สุดที่เราสามารถทิ้งไว้ให้กับคนรุ่นหลัง คือ “การมีชีวิตอยู่ตามคำสอนในทางที่จะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น”
พระองค์ทรงเป็นบรมครูแห่งการเกษตรกรรม พระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว “ภูมิพล” หมายถึง “พลังแห่งแผ่นดิน”
ในทำนองเดียวกัน โภคทรัพย์และพื้นเพทางครอบครัวของพระพุทธเจ้า ก็มาจากการทำการเกษตรเหมือนกัน แม้แต่พระบิดาของพระพุทธองค์ผู้มีนามว่า “สุทโธทนะ” นั้น ก็ยังมีความหมายว่า “ผู้ปลูกข้าวอันบริสุทธิ์”
ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระพุทธเจ้า จึงทรงเป็นผู้เชี่ยวชาญ ที่มิใช่แต่ในด้านการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์พืชเท่านั้น แต่ทั้ง ๒ พระองค์ยังทรงพระปรีชาสามารถในการบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความเมตตากรุณาและการพัฒนาอีกด้วย
พระพุทธเจ้าได้ทรงบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งความรักและความเข้าใจไว้ในจิตใจของเรา ในขณะที่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็ทรงบ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการศึกษา การสาธารณสุข การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ด้วยการสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล เขื่อน ถนนหนทาง และพื้นที่เกษตรกรรม เพื่อมอบอนาคตที่ผลิดอกออกผลแห่งความสงบสุข แผ่กิ่งก้านสาขางอกงามร่มเย็น ส่งเสริมความเจริญรุ่งเรืองให้แก่พสกนิกรของพระองค์แบบยั่งยืน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงดำเนินชีวิตตามหลักจริยธรรม และอุทิศพระองค์ให้กับการบำเพ็ญพระราชกุศล อีกทั้งยังทรงก่อตั้งมูลนิธิและโครงการให้ความช่วยเหลือสังคมและประชาชนเป็นจำนวนมากมายเหลือคณานับ
ศาสนาพุทธที่มีอยู่ในประเทศของเรา ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเห็นใจผู้อื่น และออกไปช่วยบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน ดังนั้น การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงอุทิศพระองค์ให้กับพสกนิกรอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ย่อมเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเข้าใจขั้นสูงสุดของพระองค์ต่อหลักธรรมและการบรรลุถึงความเป็นพุทธะ
เราได้รับแรงบันดาลใจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเราคาดหวังจะเทิดพระเกียรติพระมหากรุณาธิคุณของทั้ง ๒ พระองค์ โดยการส่งเสริมความจริง ความเมตตากรุณา และคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธองค์
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
ข้าพระพุทธเจ้า
สันติ พิเชฐชัยกุล
เอริค่า พิเชฐชัยกุล
และครอบครัว
คำนำผู้เขียน
การตามหาพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าเป็นงานที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ การตรวจพิสูจน์ดีเอ็นเอของพระพุทธองค์ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง ส่วนคำสอนต่างๆ ของพระองค์นั้นได้รับการเขียนขึ้นใหม่หลังพุทธกาลเป็นเวลานาน จนไม่มีหวังว่าจะได้หลักฐานด้านรูปพรรณสัณฐานของพระพุทธองค์ที่เป็นที่ยอมรับได้ แล้วเหตุใดเรายังคงพยายามทำงานชิ้นนี้?
ลองถามตัวเราเองว่า จะไม่เป็นประโยชน์หรือที่จะศึกษาพุทธประวัติเชิงประวัติศาสตร์ของศาสดาของศาสนาหนึ่งของโลก? ถ้าเราสามารถย้อนอดีตไปสู่ยุคของพระพุทธเจ้า เราจะเรียนรู้อะไรจากพระองค์บ้าง?
ดังที่กล่าวไว้แล้วในหนังสือเล่มที่ ๑ ว่า การสร้างรูปปั้นของพระพุทธเจ้าที่เหมือนจริงที่สุดที่เคยมี จะสื่อถึงคำสอนของพระพุทธองค์ได้แม่นยำกว่า ที่สำคัญที่สุดคือ จะน้อมนำให้พวกเราใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์เดิมแท้ได้
ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๕๕๕ เราทำการกลั่นกรองข้อมูลจากชุดหนังสือนิทานปรัมปราที่เก่าแก่นับศตวรรษ และการฟันฝ่าอุปสรรคทางประวัติศาสตร์ไปพร้อมกับนักโบราณคดี นักภารตวิทยา นักประวัติศาสตร์ และนักวิชาการด้านพุทธศาสนา ซึ่งได้นำพวกเราย้อนเวลาไปสู่ยุคสมัยพุทธกาลอย่างแท้จริง
ดังนั้น การเผยพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า เป็นเสมือนการค้นพบคำสอนของพระพุทธองค์ที่แท้จริงอีกครั้งหนึ่ง และเป็นการพบปะโดยส่วนตัวกับศาสดาของศาสนาที่ยิ่งใหญ่ของเรา
เราสามารถให้ความมั่นใจกับท่านได้ว่า บุคคลธรรมดาท่านนี้ เป็นบุคคลที่น่าทึ่งและน่าเคารพยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าในตำนานจากวิมานชั้นฟ้าที่พวกเราคุ้นเคยกันในปัจจุบันมากมายนัก
ในหนังสือเล่มที่ ๑ เราได้อธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับจุดประสงค์ของโครงการนี้ และถกเถียงเกี่ยวกับข้อโต้แย้งในการปั้นพระพุทธเจ้าในแบบที่เป็นมนุษย์ธรรมดา จากนั้น ได้กล่าวถึงระเบียบวิธีการวิจัย ตั้งแต่การสำรวจหลักฐานทางโบราณคดี การสืบพงศาวลี ภูมิศาสตร์ และลักษณะดินแดนแห่งพระพุทธเจ้า ไปจนถึงการค้นคว้าเกี่ยวกับความนึกคิดของพระพุทธองค์ที่เกี่ยวเนื่องกับการเลือกสวมใส่เครื่องนุ่งห่ม (สำหรับท่านที่ไม่ได้อ่านหนังสือเล่ม ๑ โปรดอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีซื้อหนังสือได้ที่ www.suntiworldartthai.com)
เมื่อเราทำวิจัยต่อมา ในหนังสือเล่มนี้ ท้าทายความรู้ที่มีอยู่เดิมเกี่ยวกับเรื่องราวที่ว่า พระพุทธเจ้าเป็นใคร? ด้วยการสืบค้นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของศาสนาพุทธ หนังสือเล่มนี้ได้รับการปรับเปลี่ยนหลายครั้ง เนื่องจากได้พบหลักฐานใหม่ๆ จึงจำเป็นต้องปรับปรุงและลบข้อมูลที่ล้าสมัยเมื่อได้ค้นพบข้อมูลที่น่าเชื่อถือกว่า
หนังสือเล่มนี้เน้นการวิจัยของนักประวัติศาสตร์ ๒ ท่าน คือ ดร.โจฮานเนส บรองก์ฮอรสต์ (Johannes Bronkhorst) และ ดร.คริสโตเฟอร์ ไอ. เบ็กวิธ (Christopher I. Beckwith) - ขอให้พึงตระหนักว่า เมื่อเราอ่านหนังสือมากมายเกี่ยวกับศาสนาพุทธในยุคต้น ข้อมูลที่เราได้สะสมไว้ก่อนหน้านี้ไม่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน หลังจากที่เราได้ทบทวนบทวิจัยของนักวิชาการ ๒ ท่านนี้ เรายินดีที่จะแบ่งปันข้อค้นพบของพวกเขาแก่ท่านผู้อ่านในหนังสือเล่มที่ ๒
งานของท่านทั้งสองที่ได้อุทิศต่อพุทธศาสนานั้น เพิ่มคุณค่าต่อมรดกของพระพุทธองค์ รวมทั้งต่อโครงการของเราด้วย
งานของเรามีจุดประสงค์เพื่อเผยรูปลักษณ์ของพระพุทธองค์ ชีวประวัติ และคำสอน ที่ถูกเปลี่ยนแปรตลอดหลายศตวรรษ อันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในช่วงต้นๆ ของคริสต์ศตวรรษ ข้อมูลนี้จะช่วยให้พวกเราละทิ้งอคติ ซึ่งอาจจำกัดความรับรู้ของเราที่มีต่อพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง หากรูปปั้นและชีวประวัติของพระพุทธองค์แตกต่างออกไปจากความคาดหวังของเรา
ถึงเวลานี้ เราขอกล่าวซ้ำอีกครั้งว่า งานปะติดปะต่อเรื่องราวทางศาสนา ไม่มีจุดประสงค์เพื่อต่อต้านใดๆ หากแต่เป็นการแยก “ความเป็นพุทธ” แท้ดั้งเดิม ออกจากสิ่งที่แทรกเข้ามาในศาสนาพุทธในภายหลัง ด้วยเหตุผลหลายประการในประวัติศาสตร์
แท้จริงแล้ว เป็นเรื่องน่าปีติที่จะได้เข้าใจว่า ศาสนาของเราได้รับการปะติดปะต่ออย่างไร และจะได้ชื่นชมเหตุผลเบื้องหลังการตัดสินใจการปะติดปะต่อนั้นเพื่อการดำรงไว้ซึ่งพุทธศาสนา ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ไม่ได้มีส่วนสะท้อนถึงพระพุทธองค์ในแบบดั้งเดิมก็ตาม เราสามารถตระหนักรู้และขอบคุณ ทั้งความเชื่อต่างๆ ทางศาสนาแบบในตำนานและพระพุทธโคตมะศาสดาผู้ยิ่งใหญ่ของเรา
เราขอแสดงความชื่นชมต่อ “ครอบครัวเจียรวนนท์” สำหรับความเอื้อเฟื้อและการสนับสนุนในโครงการนี้ รวมทั้งความอุตสาหะและความทุ่มเทของพนักงานซีพีออลล์
ขอขอบคุณผู้อ่านสำหรับการสนับสนุนจากท่านและการร่วมเดินทางต่อไปกับเรา
อาจารย์สันติ และคุณเอริค่า พิเชฐชัยกุล
...............................................................................
ประวัติ ดร.สันติ พิเชฐชัยกุล
อาจารย์สันติ พิเชฐชัยกุล เป็นศิลปินประติมากรระดับโลก ความสามารถในด้านประติมากรรมของท่านได้ประจักษ์ และเป็นที่ยอมรับต่อสายตาของชาวโลก ผลงานของท่านอาจารย์นั้น มีชื่อเสียงในด้านคุณธรรมของงานและด้านจิตวิญญาณ ทำให้รูปปั้นประหนึ่งเหมือนมีชีวิต จนคนส่วนใหญ่แยกไม่ออกเลยว่า อะไรเป็นรูปปั้นหรืออะไรเป็นคนจริง
ปี พ.ศ. 2554 ในงาน ARTPRIZE อาจารย์สันติได้รับรางวัลชนะเลิศอันดับที่หนึ่งในด้านประติมากรรม และรางวัลชนะเลิศอันดับที่สี่ของงานศิลปะทั้งหมดทุกแขนง โดยงานนี้เป็นงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก มีศิลปินที่ส่งผลงานเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 1,582 คน โดยผลงานจากศิลปินที่มีฝีมือทั่วโลกกว่า 39 ประเทศ และอีก 42 รัฐในอเมริกา และในปี พ.ศ. 2555 ท่านก็ได้รับรางวัล “Best Of Show 3D” ในงานครบรอบร้อยปีของ Calgary Stampede Western Showcase Artists’ studio ในเมืองคาลการี รัฐอัลเบอร์ต้า ประเทศแคนาดา โดยถือว่าอาจารย์สันติ ได้เข้าร่วมแข่งขันรายการ Portrait Society of America ซึ่งถือว่าเป็นการแข่งขันระดับโลกอีกรายการหนึ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง โดยอาจารย์สันติ ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 15 จากสุดยอดศิลปินที่มีฝีมือจาก 800 กว่าคนทั่วโลก โดยแบ่งเป็นประติมากร 5 คน จิตรกร 10 คน และในปี พ.ศ. 2557 ที่ Safari Club International ที่ Las Vegas, Nevada ได้ยกย่องให้อาจารย์สันติ เป็นประติมากรรมอันดับหนึ่งของโลก และในปัจจุบันนี้ คอนเล็คชั่นอริยสงฆ์ องค์เดียว มีผู้ประมูลสูงถึง 1 ล้านบาท
................................................
ประวัติ อ.เอริค่า พิเชฐชัยกุล
เอริค่า สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรี “เกียรตินิยม” จาก ๕ มหาวิทยาลัยของ ๓ ประเทศ คือ (สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และสกอตแลนด์) ในเวลา ๓ ปีครึ่ง ได้คะแนนสะสมเฉลี่ย ๓.๙๒ และหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่เอริค่าเข้าศึกษาก็คือ มหาวิทยาลัย St. Andrews ประเทศสกอตแลนด์ พร้อมเจ้าชายวิลเลียม และเจ้าหญิงแคเธอรีน “เอริค่าเรียนเป็นรุ่นน้องของทั้ง ๒ พระองค์ ๑ ปี”
เอริค่าเป็นนักฟุตบอลอาชีพคนหนึ่ง แต่ถูกปฏิเสธไม่ให้ลงแข่งในทีมของ “Boston” และ “Philadelphia Charge” แต่เอริค่าก็ยังได้เล่นในพรีเมียร์ลีกของสกอตแลนด์ ในสโมสร “คิลมาร์น็อกฟุตบอลคลับ” (Kilmarnock Football Club)
หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย ตลอดระยะเวลาที่ศึกษา เอริค่าต้องทำงานต่างๆ ครึ่งเวลา เพื่อหาเงินมาอุดหนุนจุนเจือตนเอง เธอชอบการท่องเที่ยวและผจญภัยไปตามประเทศต่างๆ คนเดียว เช่น อิตาลี เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก เบลเยียม ฝรั่งเศส
เอริค่าจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย เรียนวิชาเอกสาขาด้านจิตวิทยา และทำงานเป็นนักข่าวที่ได้รับมอบหมายจาก Department of Child and Family (DCF) ของมลรัฐคอนเนตทิคัต ซึ่งเอริค่าสามารถส่งข่าวได้ตามกฎหมายในเรื่องของขอสงสัยที่ว่ามีการทารุณกรรมเด็ก เอริค่าได้คะแนนดีมากในช่วงฝึกงานด้านการเป็นที่ปรึกษาปัญหาการข่มขืนทางเพศ การให้คำแนะนำและการช่วยเหลือผู้รับเคราะห์ที่ถูกข่มขืน และทำให้เป็นแผลชอกช้ำจากการละเมิดทางเพศ
เมื่ออายุ ๒๑ ปี เอริค่า ปฏิเสธการเสนอให้เข้าศึกษาต่อระดับปริญญาโท สาขาจิตวิทยาด้านสุขภาพ ของมหาวิทยาลัย Stirling ในสกอตแลนด์ เพราะต้องการทำงานหาประสบการณ์และต้องการเที่ยวต่างประเทศ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะต้องแบกภาระเงินกู้เพื่อเรียนปริญญาโทดังกล่าว
เอริค่ามีประวัติส่วนตัวดีเด่นคนหนึ่ง จึงได้รับการว่าจ้างให้เป็นที่ปรึกษาด้านการประทุษร้ายทางเพศ ที่ศูนย์ Thomas Murphy ท้องที่ Willimantic มลรัฐคอนเนตทิคัต เพื่อช่วยฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดและติดสุรา
ในฐานะเป็นที่ปรึกษา เอริค่ามีหน้าที่สอนกลุ่มการช่วยเหลือตนเอง และสอนการหาหัวข้อเสวนาด้านจิตวิทยาของการติดสิ่งเสพติด และการหาหัวข้อเสวนาอื่นๆ เช่น การบริหารความโกรธ ทักษะการดำเนินชีวิต
เธอจัดให้มีการประชุมต่างๆ เกี่ยวกับการให้คำปรึกษา ส่วนบุคคล แก่คนไข้ภายในของโรงพยาบาล อีกทั้งคอยให้คำแนะนำการทำตนให้เป็นคนดีของสังคม หน้าที่อย่างอื่นของเอริค่า เช่น เขียนคำชี้แจง เขียนจดหมายถึงผู้พิพากษา เจ้าหน้าที่คุมประพฤติ เจ้าหน้าที่ผู้ดำเนินคดี รวมทั้งฝึกการทำสมาธิ ดำเนินการทดสอบยาเสพติด
เอริค่ามีความสามารถมากขึ้นในการเป็นที่ปรึกษา และคนไข้ก็นับถือเธอ คนไข้ส่วนใหญ่ ล้วนเป็นผู้ชายที่รูปร่างใหญ่ ล่ำสัน มีลายสักตามตัว และใช้เวลาครึ่งชีวิตอยู่ในเรือนจำ
เอริค่าเริ่มตัดสินใจศึกษาพุทธศาสนาและดำรงชีวิตแบบธรรมชาติ ได้เรียนรู้วัฒนธรรมใหม่ๆ ก่อนเข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาโท เอริค่าตั้งใจที่จะเดินทางมายังประเทศไทย และในวันสุดท้ายของการทำงาน นักโทษขู่กรรโชกทรัพย์คนหนึ่ง ทำเค้กให้เอริค่ารับประทาน พร้อมกับเขียนการ์ดขอบคุณเอริค่า และมองเธอด้วยดวงตาที่เศร้าๆ เจ้านายของเอริค่าบอกเธอว่า เอริค่าเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดเท่าที่ TME เคยมีมา
..................................................................................
สอบถามรายละเอียดได้ที่ ฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์
บริษัท วิช กรุ๊ป(ไทยแลนด์) จำกัด
โทรศัพท์ 094 484 3385 , 081 627 0588, 062 459 4642