"น้ำผึ้งคลุกข้าว" น้ำผึ้งแผ่นดิน – น้ำนมแม่ธรณี (ตอน 1)
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
"น้ำผึ้งคลุกข้าว"
น้ำผึ้งแผ่นดิน – น้ำนมแม่ธรณี (ตอน 1)
เมือง ไทยใหญ่อุดมของเราไม่ใช่เป็น เมือง"อู่ข้าว อู่น้ำ" เท่านั้น แต่ยังเป็น"อู่ข้าว อู่น้ำมัน"ด้วย ในโลกใบนี้มีไม่กี่ประเทศกระมังที่มีผืนดินอุดมสมบูรณ์ถึงขนาดปลูกข้าว ปลูกพืชอาหารได้เหลือกินเหลือใช้จนสามารถส่งออกได้เป็นจำนวนมากเหมือนอย่าง ประเทศไทย และเมื่อไม่นานมานี้คนไทยก็เพิ่งรับรู้ว่าเมืองไทยเป็นเจ้าของแหล่งน้ำมัน และก๊าซที่มีอันดับกับเขาเหมือนกัน เอาเฉพาะปริมาณน้ำมันดิบที่ขุดมาขึ้นมาจากแผ่นดินไทยในแต่ละปี เราถูกจัดเรตติ้งในอันดับที่32 ส่วนก๊าซอยู่อันดับ24 ของโลกที่มีทั้งหมด191ประเทศ แต่เรื่องที่น่าเศร้าคือ เมืองอู่ข้าว อู่น้ำมันอย่างไทยเรากลับต้องมาประสบเคราะห์จากวิกฤติข้าวและพลังงาน
"น้ำผึ้งคลุกข้าว" น้ำผึ้งแผ่นดิน – น้ำนมแม่ธรณี (ตอน 2)
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
"น้ำผึ้งคลุกข้าว"
น้ำผึ้งแผ่นดิน – น้ำนมแม่ธรณี (ตอน 2)
โบลิเวีย เป็นตัวอย่างหนึ่งของประเทศที่ให้ความสำคัญกับทรัพยากรปิโตรเลียมเทียบเท่า อธิปไตยของชาติอันไม่มีผู้ใดละเมิดได้ แต่แม้ภาครัฐไทยจะไม่ให้ความสำคัญกับอธิปไตยของปิโตรเลียมเท่าที่ควร แต่เสียงสะท้อนจากภาคประชาชนไทยคนเล็กคนน้อย นับวันจะดังยิ่งขึ้นทุกที ที่ต้องการทวงคืนอธิปไตยทาง
"เปลี่ยนทรัพยากรแผ่นดินให้เป็นทรัพย์สินของประชาชน" (ตอน 2)
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
"เปลี่ยนทรัพยากรแผ่นดินให้เป็นทรัพย์สินของประชาชน" (ตอน 2)
ดิฉันมีโอกาสพบกับอดีตประธานบริษัทปิโตรนัสเมื่อต้นปี 2557 ได้รับฟังการบรรยายประวัติการก่อตั้งบริษัทปิโตรนัสจากท่านว่า ในปี2517 นายกรัฐมนตรีมาเลเซียให้เปลี่ยนระบบโดยไปลอกแบบกฎหมายของอินโดนีเซียมาใช้ แต่ปัจจุบันท่านกล่าวว่าระบบของมาเลเซียพัฒนาไปก้าวหน้ากว่า ในยามเริ่มแรกมีการตั้งบริษัทปิโตรนัสขึ้นมาพร้อมๆกับการนำระบบการแบ่งปันผล ผลิตมาใช้ โดยมอบหมายให้บริษัทปิโตรนัสเป็นผู้ดูแลทรัพยากรปิโตรเลียมทั้งระบบ บริษัทปิโตรนัสดำเนินการแบบบริษัทมืออาชีพ แต่รัฐเป็นเจ้าของ 100% อดีตประธานปิโตรนัสกล่าวว่า ปิโตรนัสคือองค์กรเพื่อการบริการสาธารณะแห่งชาติ (National Services)
"เปลี่ยนทรัพยากรแผ่นดินให้เป็นทรัพย์สินของประชาชน" (ตอน 1)
CHANGE The World รสนา โตสิตระกูล
"เปลี่ยนทรัพยากรแผ่นดินให้เป็นทรัพย์สินของประชาชน" (ตอน 1)
นับตั้งแต่มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่1เมื่อปี2504 เป็นต้นมา
วัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาการเศรษฐกิจแห่งชาติ ได้แก่การยกมาตรฐานการครองชีพของประชาชนให้มีระดับสูงขึ้นกว่าเดิมด้วยการ ระดมและใช้ทรัพยากรเศรษฐกิจของประเทศให้เป็นประโยชน์มากที่สุดเพื่อขยายการ ผลิตและเพิ่มพูนรายได้ประชาชาติให้รวดเร็วยิ่งขึ้นหรือจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง เป็นการเพิ่มปริมาณสิ่งของและให้บริการแก่ประชาชนแต่ละคนให้สูงมากขึ้น มุ่งส่งเสริมการค้าเสรี ขยายการผลิต ส่งเสริมกิจกรรมและการลงทุนของภาคเอกชนโดยรัฐบาลจะดำเนินงานเฉพาะงานพื้นฐาน ที่มีประโยชน์ต่อส่วนรวม แต่หลังจากมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจฯเป็นเวลากว่า 50ปี ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นกลับกลายเป็นสภาพ "รวยกระจุก จนกระจาย" เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมเพิ่มมากขึ้น จนนำไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองคร้ังแล้วครั้งเล่า
"คสช.จะโปร่งใสหากไม่เลือกปฏิบัติ"
"คสช.จะโปร่งใสหากไม่เลือกปฏิบัติ"
กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน เป็นกองทุนที่เก็บจากผู้ใช้น้ำมันทุกชนิด ลิตรละ1สลึง ได้เงินเข้ากองทุนฯประมาณปีละ8,000-9,000 ล้านบาท และปัจจุบันเป็นกองทุนที่มีเงินรองรังสูงถึงราว 40,000 ล้านบาท หากเปรียบกับกองทุน สสส.ที่กำหนดให้จัดเก็บจากภาษีเหล้าและบุหรี่ 2% เคยมีรายรับเริ่มต้นปีละ2,000 ล้านบาท ปัจจุบันจัดเก็บได้เพิ่มเป็น 4,000 ล้านบาท เห็นว่าจะมีการจำกัดวงเงินไม่ให้เกินกว่านั้น แม้แต่ทีวีสาธารณะอย่างไทยพีบีเอส ก็ได้รับภาษีจัดสรรแบบเดียวกันจากเหล้าและบุหรี่แต่ถูกจำกัดไว้ไม่เกินปีละ 2,000ล้านบาทเท่านั้น